Contents
- 1 ล้วงให้ลึก! ระบบ e-KYC คืออะไร สำคัญเพียงใดกับชีวิตและการทำธุรกรรมการเงิน
- 2 ระบบ e-KYC คืออะไร!?
- 3 5 ประโยชน์ที่น่าสนใจของระบบ e-KYC คืออะไรกันบ้าง!?
- 4 1.ระบบ e-KYC คือสิ่งที่เหมาะกับประเทศที่ผู้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
- 5 2.ระบบ e-KYC คือการทำธุรกรรมการเงินแบบไร้สัมผัส
- 6 3.ระบบ e-KYC คือการช่วยป้องกันการฟอกเงิน และการโจรกรรมทางการเงิน
- 7 4.ระบบe-KYC คือระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยี
- 8 5.ระบบ e-KYC คือการช่วยให้การทำธุรกรรมการเงินสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ตลอด 24 ชั่วโมง
- 9 ตัวอย่างของระบบ e-KYC ที่น่าสนใจในประเทศไทย
- 10 ตู้บุญเติม และเทคโนโลยีระบบ e-KYC
- 11 3 ระบบ e-KYC ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมีอะไรกันบ้าง!?
- 12 1.ระบบ e-KYC Biometric Authentication
- 13 2.ระบบ e-KYC Digital ID verification
- 14 3.ระบบ e-KYC Geolocation and Identity Verification
- 15 บทสรุปส่งท้าย : ระบบ e-KYC คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะช่วยเปลี่ยนโลกแห่งการทำธุรกรรมการเงิน!?
ล้วงให้ลึก! ระบบ e-KYC คืออะไร สำคัญเพียงใดกับชีวิตและการทำธุรกรรมการเงิน
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว... หากฟังเพียงผิวเผินหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ท่ามกลางแสงสว่างอันสาดส่องก็ย่อมต้องมีเงาที่ดำเข้มซ่อนอยู่เป็นของคู่กันเสมอ ความสะดวกสบายที่ได้รับก็ต้องแลกมากับการเผชิญหน้ากับผู้ไม่หวังดี ที่พร้อมจะทำการโจรกรรม ปลอมแปลงข้อมูล หรือใช้ช่องว่างในการทำธุรกรรมการเงินในการฟอกเงินหรือใช้เป็นช่องทางสนับสนุนการก่อการร้าย เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น ทำให้เทคโนโลยี “e-KYC” เกิดขึ้นมาในฐานะของระบบที่คือการป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล ที่ได้รับความนิยมอย่างมากไปทั่วโลก
ระบบ e-KYC คืออะไร!?
e-KYC คือ การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic Know-Your-Customer) หรือ การทำความรู้จักกับลูกค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการระบุตัวตนและยืนยันตัวตนที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แทนการทำ KYC แบบเดิม ที่มีความยุ่งยากเสียเวลา เพราะจะต้องให้ผู้ทำการยืนยันตัวตนต้องทำการกรอกข้อมูล ส่งเอกสาร รวมไปถึงการเดินทางไป “แสดงตัวตน” ต่อหน้าของเจ้าหน้าที่สถาบันทางการเงิน
5 ประโยชน์ที่น่าสนใจของระบบ e-KYC คืออะไรกันบ้าง!?
ระบบ e-KYC มีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน โดยสามารถทำการสรุปประโยชน์ที่ควรทราบออกเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้
1.ระบบ e-KYC คือสิ่งที่เหมาะกับประเทศที่ผู้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
หลายประเทศได้มีการนำเอาระบบ e-KYC มาใช้ในการช่วยยืนยันตัวเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีประชากรจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจนเกิดความยากลำบากในการเข้าถึงบริการทางการเงิน
2.ระบบ e-KYC คือการทำธุรกรรมการเงินแบบไร้สัมผัส
การทำธุรกรรมการเงินแบบไร้สัมผัส นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมแล้ว ยังถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในยุคที่ผู้คนจำเป็นต้องปรับตัวให้กับ New Normal ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปทำธุรกรรมทางการเงินกลายเป็นเรื่องยาก และการทำ e-KYC ยังเป็นการช่วยลดการสัมผัสที่นำไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
3.ระบบ e-KYC คือการช่วยป้องกันการฟอกเงิน และการโจรกรรมทางการเงิน
e-KYC ยังช่วยในการยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรม ที่นอกจากจะช่วยป้องกันการโจรกรรมทางการเงินที่เพิ่มสูงมากขึ้นทุกปีแล้ว ยังเป็นการช่วยป้องกันปัญหาการฟอกเงิน และเป็นการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ก่อการร้าย เป็นต้น เพราะเป็นการระบุไอดีที่เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ทำให้เกิดการปลอมแปลงลอกเลียนแบบได้ยาก
4.ระบบe-KYC คือระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยี
กระบวนการทำงานของ e-KYC เป็นสิ่งที่เรียบง่าย ทำให้ผู้ที่ใช้งานไม่จำเป็นที่จะต้องมีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยี และมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ไม่รู้หนังสือ
5.ระบบ e-KYC คือการช่วยให้การทำธุรกรรมการเงินสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ตลอด 24 ชั่วโมง
e-KYC ยังช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบบุคคล ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินการได้ นอกจากนี้การจัดสรรทรัพยากรให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้อีกด้วย
ตัวอย่างของระบบ e-KYC ที่น่าสนใจในประเทศไทย
ในประเทศไทย หลายธนาคารและสถาบันทางการเงินให้ความสนใจกับระบบ e-KYC เป็นอย่างมาก และคือมีการนำมาใช้ในการพัฒนาเพิ่มความปลอดภัยให้กับบริการของตัวเองให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และหนึ่งในบริการเหล่านั้น ระบบ e-KYC ที่น่าสนใจกรณีหนึ่งคือ “e-KYC ของตู้บุญเติม” นั่นเอง
ตู้บุญเติม และเทคโนโลยีระบบ e-KYC
ตู้บุญเติม คือ ตู้สำหรับใช้ในการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ มีลักษณะเป็นตู้สีส้มที่สามารถพบเห็นได้ตามบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อทั่วไป ในสมัยก่อนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ค่ายบริษัทมือถือพยายามออกโปรโมชั่นให้คนสนใจเปลี่ยนการเติมเงิน ไปเป็นลูกค้าแบบรายเดือน ทำให้ตู้บุญเติมเองก็ค่อยๆลดบทบาทความสำคัญลง แต่ในขณะเดียวกัน ตู้บุญเติมก็ได้เปลี่ยนมามีบทบาทในการร่วมมือกับสถาบันการเงินและธนาคารในการเป็นจุด e-KYC ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ที่ทำการตรวจจับจุดบนใบหน้า 512 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะแทนรหัสผ่าน 1 ตัว ทำให้เป็นการยากในการปลอมแปลงข้อมูลรหัสทั้งหมดเป็นอย่างมาก เพื่อให้เป็นจุดยืนยันการทำธุรกรรมการเงินที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
3 ระบบ e-KYC ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมีอะไรกันบ้าง!?
นอกจากกรณีของตู้บุญเติมแล้ว ระบบ e-KYC ที่ได้ถูกนำมาใช้ในประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นฐานในการยืนยันตัวตนนั้น มีดังต่อไปนี้
1.ระบบ e-KYC Biometric Authentication
เป็นเทคโนโลยีป้องกันการทำ KYC ด้วยการเข้าระบบผ่านการยืนยันตัวตนโดยอาศัยข้อมูลทางชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา การจดจำใบหน้า เป็นต้น
2.ระบบ e-KYC Digital ID verification
การยืนยันตัวตนโดยอาศัยถ่ายภาพหนังสือเดินทาง (Passport) บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรเครดิต เป็นต้น เพื่อส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนต่อไป
3.ระบบ e-KYC Geolocation and Identity Verification
เป็นการยืนยันตัวตน ด้วยการนำสถานที่ในการทำธุรกรรม เข้ามาช่วยในการตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งของ Mobile APP ว่าที่อยู่ ณ บริเวณนั้น มีการทำธุรกรรมจริงๆ
บทสรุปส่งท้าย : ระบบ e-KYC คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะช่วยเปลี่ยนโลกแห่งการทำธุรกรรมการเงิน!?
หากจะกล่าวว่า e-KYC... คือสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ในการทำธุรกรรมทางการเงินแบบเดิมทีต้องทำการหอบเอกสารจำนวนมากและเดินทางไปยังสาขาของธนาคารหรือสถาบันทางการเงินเพื่อทำการยืนยันตัวเอง กลายมาเป็นการทำธุรกรรมที่ง่ายดาย เพียงผ่านระบบ e-KYC แบบต่างๆแทน ก็ไม่เกินความจริงอย่างแน่นอน...