Contents
- 1 KYC หมายถึงอะไร คืออะไร ทำไมตัวย่อนี้ถึงได้รับความนิยมแบบห้ามพลาดในปัจจุบัน!?
- 2 KYC ย่อมาจากอะไร!? หมายถึงอะไร!?
- 3 KYC ตัวย่อนี้ทำไมถึงได้สำคัญนัก!?
- 4 หน่วยงานและองค์กรใด คือต้องทำ KYC!?
- 5 สิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการทำ KYC คืออะไรกันบ้าง!?
- 6 เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมนำมาใช้กับการทำ KYC
- 7 1.Biometric Authentication
- 8 2.Digital ID verification
- 9 3.Geolocation and Identity Verification
- 10 บทสรุปส่งท้าย : KYC คืออะไร ย่อมาจากความหมายถึงอะไร ทำไมถึงควรให้ความสำคัญ!?
KYC หมายถึงอะไร คืออะไร ทำไมตัวย่อนี้ถึงได้รับความนิยมแบบห้ามพลาดในปัจจุบัน!?
“KYC” เป็นหนึ่งในตัวย่อที่หลายคนอาจได้เห็นกันบ่อยครั้งในด้านของการเงิน แต่หลายคนอาจไม่เคยทราบความหมายกันมาก่อนว่า KYC คืออะไร มีความหมายถึงอะไร และเป็นตัวย่อของอะไรกันแน่!? ดังนั้น เพื่อเป็นการไขปริศนาคาใจรวมไปถึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ บทความชิ้นนี้ได้ทำการรวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจของ KYC มาฝากกัน ไปติดตามอ่านกันดีกว่าว่าที่จริงแล้ว KYC คืออะไรกันแน่!?
KYC ย่อมาจากอะไร!? หมายถึงอะไร!?
KYC ย่อมาจากคำว่า “Know Your Customer” หากแปลเป็นไทยอย่างตรงตัวก็คือ “กระบวนการทำความรู้จักกับลูกค้า” ที่ช่วยในการระบุและพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง (Identification and Verification) นอกจากนี้ KYC เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอีกด้วย
KYC ยังเป็นตัวย่อที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะโดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีธนาคารหรือทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผู้ใช้งานจะต้องทำการเปิดเผยข้อมูลและผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อมูลของลูกค้าหรือ CDD ที่ย่อมาจาก Customer Due Diligence ที่เป็นการยืนยันและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการโจรกรรม
KYC ตัวย่อนี้ทำไมถึงได้สำคัญนัก!?
KYC เป็นนโยบายมีความหมายที่สำคัญเป็นอย่างมาก และได้รับความนิยมอย่างมาก ณ ปัจจุบัน เพราะเป็นการช่วยป้องกันการโจรกรรมตัวตนและฟอกเงิน การติดสินบน เงินใต้โต๊ะ และการสนับสนุนการก่อการร้ายที่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อสวัสดิภาพของประเทศ
นอกจากนี้ KYC คือ ข้อมูลที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทที่ถูกกฎหมายและทำธุรกรรมทางการเงินอย่างถูกต้อง จำเป็นจะต้องนำไปใช้ในการตรวจสอบที่มาที่ไปของแหล่งเงิน รวมไปถึงการตรวจสอบกลุ่มลูกค้าของบริษัทอีกด้วย
หน่วยงานและองค์กรใด คือต้องทำ KYC!?
หน่วยงานที่ต้องทำ KYC คือ องค์กรที่มีลักษณะเป็นสถาบันทางการเงินและผู้ให้ธุรกรรมทางการเงิน รวมไปถึงเหล่าโบรกเกอร์ Forex ที่ถูกกฎหมายด้วย ทำให้ KYC หมายถึงการยืนยันตัวตนของตัวเอง ด้วยเอกสารหลักฐานแสดงตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน และที่อยู่ ของเหล่าโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยป้องกันการปลอมแปลง แอบอ้าง นำข้อมูลไปใช้ รวมไปถึงการโกง เป็นต้น
สิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการทำ KYC คืออะไรกันบ้าง!?
เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูลว่าบุคคลที่ต้องการทำ KYC คือคนที่มีตัวตนอยู่จริง ไม่ได้เป็นการแอบอ้าง ต้องทำการแจ้งข้อมูลที่มีความถูกต้อง โดยอ้างอิงจากเอกสารดังต่อไปนี้
- ทำการส่งข้อมูล อาทิเช่น บัตรประชาชน หรือพาสสปอร์ต
- หมายเลขโทรศัพท์
- อีเมล
- ที่อยู่
- Stamen ของธนาคาร
- บิลใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า และโทรศัพท์
เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมนำมาใช้กับการทำ KYC
ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการทำ KYC ที่ย่อมาจาก Know Your Customer ได้มีการนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยที่น่าสนใจมาใช้หลายประการ อาทิเช่น
1.Biometric Authentication
เป็นเทคโนโลยีป้องกันการทำ KYC ด้วยการเข้าระบบผ่านการยืนยันตัวตนโดยอาศัยข้อมูลทางชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา การจดจำใบหน้า เป็นต้น
2.Digital ID verification
การยืนยันตัวตนโดยอาศัยกาถ่ายภาพหนังสือเดินทาง (Passport) บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรเครดิต เป็นต้น เพื่อส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนต่อไป
3.Geolocation and Identity Verification
เป็นการยืนยันตัวตน ด้วยการนำสถานที่ในการทำธุรกรรม เข้ามาช่วยในการตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งของ Mobile APP ว่าที่อยู่ ณ บริเวณนั้น มีการทำธุรกรรมจริงๆ
บทสรุปส่งท้าย : KYC คืออะไร ย่อมาจากความหมายถึงอะไร ทำไมถึงควรให้ความสำคัญ!?
จากข้อมูลในข้างต้น... เชื่อว่าคงจะช่วยทำให้หลายคนเข้าใจได้เป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้นแล้วว่า KYC คืออะไร ย่อมาจากความหมายถึงอะไร!? และมีเหตุผลที่ควรให้ความสำคัญกันอย่างไรกันบ้าง!? ถึงแม้ว่า KYC จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ยังคงคือเรื่องที่น่าสนใจ ที่ควรรู้จักเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน...